ASUS Essence One MKII Review
Share | Tweet |
LISTENING
น้ำเสียงแรกที่ได้ยินนั้นทำให้ผมรู้สึกว่า นี่แหล่ะใกล้ความต้องการผมมากที่สุด มันให้เสียงที่ค่อนไปทางสดใสเหมือนสาวแรกรุ่นวัยมหาวิทยาลัย รายละเอียดนั้นถือว่ายอดละ เลยตัดสินใจต่อเชื่อมกับ Macbook Air ทิ้งไว้ร่วมอาทิตย์ 24 ชั่วโมงต่อวันครับ เสียงที่ได้หลังจากผ่านพ้น Burn in ไปแล้วคือ ความสดใส เวทีเสียง ความกังวาลที่ดี
ระยะการจัดวางลำโพงประกอบการทดสอบ ASUS Essence One MKII นั้น ผมวาง Tablette 50 Signature ห่างผนังหลังประมาณ 165 เซนติเมตร ระยะห่างลำโพงวัดจากทวีตเตอร์อยู่ที่ประมาณ 173 เซนติเมตร โทอินเล็กน้อย นั่งฟังห่างประมาณสามเมตร
.
เมื่อเทียบกับ ESSENCE ONE MUSES Edition นั้น ผมรู้สึกว่า ผมชอบความราบรื่นและความนวลของ MKII มากกว่าครับ น่าจะมาจากรสนิยมส่วนตัวที่ไม่ค่อยปลื่มกับเสียงที่ Bright มากเกินไป MKII ให้องค์ประกอบของเสียงกับชุดของผมได้ดีกว่า ผมลองฟังเพลงพ๊อพสบายๆหลากหลายอัลบัม เสียงร้องนั้นแม้ว่าจะสู้ ESSENCE III <คลิ๊กเพื่อย้อนกลับไปชมบทความ>ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ทว่ามันไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด เสียงร้องของ ESSENCE III นั้นให้มวลเสียงของนักร้องอวบอิ่มกว่าและจะแปรเปลี่ยนแปลงมวลเสียง ความหนา ความใส ความกังวาลตามแผ่นนั้นๆ คือมันเป็นท่อตรงๆที่มีคุณภาพสูงมาก พร้อมที่จะถ่ายทอดเสียงที่บรรจงมาเป็นอย่างดีจากต้นทางไปเปล่งเสียงที่ปลายทาง แต่กับ MKII นั้น มันจะให้เสียงบางกว่า ความเป็นสามมิติของมวลเสียงนั้นจะด้อยกว่าค่อนข้างมาก แต่มันให้ความสดใส ผมใช้คำว่าสดใสน่าจะเป็นคำบอกเล่าที่สามารถสื่อสารได้ดีที่สุดนะครับ มันไม่ได้ให้เสียง Bright แต่ชัดมากเหมือนอย่าง MUSES Edition แต่มันให้ความ Bright ที่มีความลื่น ความต่อเนื่องของเสียงได้อย่างดีจนผมไม่อยากติมัน
.
เมื่อลองฟัง Percussion Album ที่เน้นไปที่การโชว์การแพนเสียง MKII นั้นสามารถระบุแหล่งที่มาของเสียงไม่ว่าจะเป็นระนาบของลำโพงหรือเวทีด้านหลัง บรรยากาศที่แผ่ออกมานั้นเป็นละอองเสียงที่มีมวลขนาดใหญ่ (ผมเซตดิฟฟิวเซอร์ร่องกลางเพื่อให้ระนาบเสียงโดยรวมกลมกลืนระหว่างเสียงที่พุ่งออกมาหาเราและความชัดเจนในเวทีด้านหลังนะครับ) แน่ละครับว่า MUSES นั้นแจกแจงหัวเสียงได้ชัดเจนกว่า ESSENCE III ให้รอยต่อระหว่างหัวเสียง ณ จุดกำเนิดแต่ละจุดได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่ MKII นั้นอยู่ในจุดที่รับได้เลย ความต่อเนื่องนั้นทำให้ผมรู้สึกว่ามันเจ๋งมากครับสำหรับแนวเพลงเพอร์คัสชั่นแบบนี้
.
ด้านเพลงแนวซิมโฟนี่ ออเคสตร้านั้น บรรดาเครื่องเป่าทองเหลืองนั้นให้เสียงใส แสบสันต์และมีความหนาของเนื้อเสียงที่น่าสนใจมาก ระนาบของชิ้นดนตรีที่ถูกวางใว้ในวงออเคสตราขนาดใหญ่นั้นชัดเจนครับ เครื่องสีจำพวกไวโอลินและเชลโล่นั้นแผดและกระหน่ำขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนั้นทำให้รู้สึกได้เลยครับว่า ระนาบของเสียงรวมถึงความสดความสมจริงของเนื้อเสียงนั้นมากมาย timing ของดนตรีนั้นฟังออกได้เลยครับว่าผ่อนสั้นผ่อนยาวตามเนื้อหาและฟีลลิ่งได้เป็นอย่างดี ไม่ถึงกับเคลิ้มหรือหวานมากมายแต่มันสดใสมาก
.
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องการเช็คมิติและเวทีเสียง ผมมักจะหยิบ Benny Waters “Live at the Pawnshop” มากลองครับ แผ่นนี้ผลิตโดย OPUS3 เสียงนั้นคงไม่ต้องพูดถึงครับสำหรับค่ายนี้ กับแทรคที่คุ้นเคยอย่าง Zig Zig เสียงร้องของเบนนี่นั้นสมจริงมากๆ อิ่มหนา สดใส ความต่อเนื่องดีเยี่ยม รายละเอียดของเสียงที่กระจายอยู่รอบๆบริเวณลำโพงชัดเจน ไทม์มิ่งปกติ ผมว่า MKII นั้นให้มิติสู้ ESSENCE III ไม่ได้นะครับ แต่ว่ามันมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่น่าสนใจมาก เสียงแหลมจากแก้วที่กระทบกันและเสียงบรรยากาศนั้นทำให้ผมมองเห็นควันบุหรี่จางๆเหมือนที่ควรจะเป็นเลย
.
ฟังเพลงหนักๆแล้วย้อนกลับมาฟังเพลงเบาๆบ้าง Slipknot Psychosocial เสียงดร๊อปสายต่ำสุดประเทศของมิคนั้นสั่นสะเทือนตับมากเมื่อปาล์มมิวท์เกือบๆบอดอย่างนั้น จุดนี้กลายเป็นว่า MKII นั้นได้เปรียบ ESSENCE III ทันทีครับ เสียงที่เปิดกว่า พุ่งกว่านั้นทำให้ความเกรียวกราดของริฟหนักๆนั้นโหดอย่างกับเราไปยืนหน้าตู้ริเวร่า KR7 เลย เสียงเพลง It is electric ที่เล่นใหม่โดย Metallica นั้นให้ความสนุกสนานให้เสียงคำรามจาก EMG 81/81 จากคู่หู่เฮทฟิลล์และแฮมเมททะลุหู Drag the Water จากมือกีตาร์ผู้ล่วงลับอย่างดิมแบคที่อุดหนักๆผ่านแรนดอล วอร์เฮดขณะบันทึกเสียงนั้นแน่นๆ ความถี่ต่ำแผ่เป็นคลื่นออกมาได้สวยงามมาก Mr. Clowley ที่เล่นโดย Juliette Valduriez) ผมฟังจาก Youtube ที่เจ้าตัวอัพมาแบบคุณภาพไม่สูงนัก แต่ MKII สามารถทำให้เราแยกออกเลยครับว่า สไตล์และวิธีการเล่นของเธอนั้นเป็นการเข้าสิงของทั้ง Rhoads และ Wylde น่าจะเป็น perfect combination ของเพลงนี้ละครับสำหรับผม…