…เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงาน NVIDIA Editor’s day ที่จัดขึ้น ณ โรงภาพยนตร์เอสพลานาด รัชดา ซึ่งวันนี้ก็ถือได้ว่าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์กันพอดี ผมก็เลยจะถือโอกาสนี้ เรียกกันว่ามาอัพเดต เทคโนโลยี ล่าสุดจากทาง NVIDIA ก็แล้วกันนะครับ

…ในช่วงหลังๆมานี้ NVIDIA ผมถือได้ว่าได้ทำการบ้าน เพื่อที่จะเข้ามาเจาะตลาดในประเทศแถบเอเซียตะวันออกอย่างพวกเรามาอย่างค่อนข้างดีมากครับ ซึ่งอย่างแรก ที่ NVIDIA จะนำเสนอในวันนี้นั้นก็คือ เว็บไซต์ ภาษาท้องถิ่น สำหรับภูมิภาคอาเซียนอย่างเราๆ ที่จะเปิดตัวออนไลน์เป็นภาษาแรกนั้นก็คือภาษาไทย นั้นเองครับ โดยได้จดทะเบียนชื่อโดเมนในชื่อ “www.nvidia.co.th” ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ NVIDIA นั้นให้ความสำคัญกับประเทศไทยเราเป็นอันดับต้นๆในภูมิภาคนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนักครับ

…ในช่วง ณ เวลาปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์ของทาง NVIDIA ในฝั่งกลุ่มกราฟฟิคการ์ดสำหรับคอเกม ก็ยังเรียกได้ว่านิ่งๆทรงตัวๆอยู่ ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ มากนัก นอกจากเสียว่าช่วงนี้คงจะเป็นช่วงเวลาที่ NVIDIA กำลังสร้างไลน์อัพของกราฟฟิคการ์ดในตระกูล GeForce 500 ให้ครบตั้งแต่ระดับ Entry Level ไล่ไปจนถึงระดับสูงสุด ซึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดตัวเจ้า GT520 ระดับ Entry Level ไปแล้ว

…GT520 ที่เปิดตัวไป ถ้าหากว่าตามข่าวกันอย่างต่อเนื่อง หลายๆท่านน่าจะได้ทราบรายละเอียดกันไปแล้วครับว่าเป็นกราฟฟิคการ์ดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เป็นจุดชูโรงของ GeForce 500 series ที่ทำให้มันมีความแตกต่างจาก Fermi ใน GeForce 400 นั้นก็คือเทคโนโลยี 3D Vision เป็นหลักๆสำคัญๆเลย ซึ่ง GeForce GT520 นั้นก็จะมาพร้อมกับพอร์ต HDMI 1.4a สนับสนุน 3DVision ดูหนัง BluRay 3D กับแว่นตาเทคโนโลยี shutter ของทาง NVIDIA เอง รวมไปถึงมีการ์ดในเวอร์ชั่น Low profile สำหรับใช้งานกับเครื่อง HTPC ขนาดเล็กๆอีกด้วย

…ประสิทธิภาพของ GeForce GT520 ณ เวลานี้ เวอร์ชั่นที่เป็น Mobile สำหรับโน๊ตบุ๊ก NVIDIA ก็ได้แสดงให้เห็นชัดเจนแน่แล้วครับว่า มันมีประโยชน์ และสามารถทำประสิทธิภาพได้ดีกว่าตัวกราฟฟิคออนชิปใน Sandy Bridge ได้แล้วแน่นอน ซึ่งเมื่อทำงานผนวกรวมเข้ากับเทคโนโลยี Optimus ที่ตอนนี้เรียกได้ว่า โน๊ตบุ๊กที่ใช้ชิป NVIDIA กว่า 80% ในตลาดนั้น มีเทคโนโลยี Optimus ให้ผู้ใช้ได้ใช้งานแล้ว ก็จะทำให้สามารถบาลานซ์กันระหว่างความสามารถในการจัดการการใช้พลังงาน กับประสิทธิภาพในด้านกราฟฟิคได้อย่างดี

…นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าเราจะประกอบคอมใช้งานเอง แต่ถ้าอยากจะใช้งานระบบสามมิติ แว่นตาสามมิติแบบชัตเตอร์ ของ NVIDIA ก็มีจำหน่ายแล้วครับในประเทศไทยของเรา ผ่านทางบริษัท Neolution ซึ่งหากท่านมีกราฟฟิคการ์ดในตระกูล GeForce 500 อยู่ ก็สามารถที่จะซื้อชุดแว่นตาสามมิติไร้สาย พร้อมตัว IR Emitter สำหรับใช้งานกับเครื่องพีซี เพื่อเปิดการทำงานของ 3D Vision ทั้งเล่นเกม และดูภาพยนตร์ Blu-Ray 3D ผ่านจอ 3DTV ได้แล้วโดยไม่ต้องไปง้อเครื่อง HTPC แพงๆ หรือโน๊ตบุ๊ก 3DVision ที่ประกอบเสร็จขายพร้อมแว่นตากันเลย

…และล่าสุดที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาเปิดตัวในไทยครับ กับโทรศัพท์ NVIDIA !! อ่านไม่ผิดหรอกครับ จริงๆแล้ว NVIDIA ได้เริ่มลงทุนในธุรกิจอุปกรณ์จำพวก portable device หรือ mobile ไว้อยู่นานมากแล้ว โดยได้พัฒนาชิปประมวลผลของโทรศัพท์ ขื่อว่า “Tegra” ซึ่งเมื่อประมาณปลายปี 2009 ผมได้เคยเขียนถึงไว้ทีหนึ่งแล้วตอนที่กลับมาจากงานสัมนาสื่อของทาง NVIDIA เอง ณ ตอนนั้น ยังคงเป็น Tegra รุ่นแรก เป็น single core ประกอบกับยังไม่ค่อยมีอุปกรณ์อะไรในท้องตลาดเอา Tegra ไปใช้มากนัก จะมีเด่นๆตอนนั้นก็แค่ Zune เครื่องเล่นมัลติมีเดียที่สนับสนุนการเล่นวีดีโอ 720p เท่านั้นครับ

…มาถึง ณ ปัจจุบัน ปี 2011 NVIDIA ก็ได้เดินหน้าพัฒนา Tegra 2 ซึ่งเป็นชิป Dual core สำหรับโทรศัพท์ซุปเปอร์โฟนตัวแรกของโลก ความเร็วถึง 1GHz ใช้สถาปัตยกรรมแบบ ARM Cortex-A9 สนับสนุนการแสดงผลในความละเอียดสูงถึง 1080p ซึ่งก็น่าจะเข้ากับกระแสของอุปกรณ์ Consumer electronics ในปัจจุบันนี้ ที่จะเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นๆ อย่างพวก Tablet แนวๆไอแพดผนวกกับระบบปฏิบัติการแอนดรอย ที่ก็เพิ่งได้มี Froyo ลงสู่สังเวียนศึก smartphone ไปเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนี้เท่าที่ผมทราบ ก็มีผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ชิป Tegra หลักๆที่ผมได้ยินมาก็คือ LG กับโทรศัพท์ Optimus 2X มี Asus ทำ Tablet ออกมาขาย รวมไปถึง Motorola กับโทรศัพท์ในตระกูล Droid หรือจะเป็น Tablet Motorola Atrix รวมไปถึง Xoom

…ตัวผมเอง ยังไม่ได้มีโอกาสได้สัมผัส LG Optimus 2X แต่ทางคุณเจฟ ผู้บรรยาย ก็ได้แสดงความสามารถของตัวประมวลผล Tegra 2 ใน LG Optimus 2X ถึงความลื่นไหล และความสามารถในการต่อ output ในรูปแบบของอินเตอร์เฟส “HDMI” ความละเอียดสุดยอดระดับ 1080p พร้อมกันนั้นยังสามารถต่อเอาสัญญาณเสียงออกมาจากตัวโทรศัพท์ได้อีกด้วยครับ

…สมรรถนะจะสุดยอดแค่ไหน ก็ดูกันก็แล้วกันครับ ว่าโปรเจ็คเตอร์ที่ท่านเห็นในรูปด้านบนนั้น ต่อออกสกรีนของโรงหนังที่เอสพลานาด ผมแทบจะจับผิดหาลายแตกของพิกเซลไม่เจอเลย กับความละเอียดระดับ Full HD 1080p ที่ต่อสัญญาณภาพส่งออกจาก “โทรศัพท์”

แท่งสีเขียวคือ NVIDIA Tegra 2 นะครับ

…และเพื่อเป็นการแสดงประสิทธิภาพสุดยอดของ Tegra 2 คุณเจฟ ก็ยังได้ทดลองเปิดเว็บไซต์ที่มีแฟลช หรือสคริปต่างๆที่มักจะทำให้มือถือทั่วไปเกิดอาการช้า ให้ได้ดูกันครับ เท่าที่ผมนั่งดู ก็ค้นกบว่า การ scroll ต่างๆนั้นก็ทำได้ลื่นมากๆ เหมือนกับเราเปิดเว็บในเครื่อง desktop pc สมัยใหม่นี้เลยแหละครับ โดย Tegra 2 ณ ตอนนี้ NVIDIA ได้เคลมไว้ว่า ประสิทธิภาพในการแสดงผลไม่ว่าจะเป็น HTML5 หรือ Flash นั้น มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ในตลาด เมื่อเทียบกับชิปประมวลผลโมบายอื่นๆแล้ว

…นอกจากความสามารถในการใช้งานเชื่อมต่อ รวมไปถึงแสดงผลหน้าเว็บทั่วๆไป ในแบบฉบับเทียบเท่าเครื่อง desktop pc แล้ว เรื่องของเกม ก็ถือได้ว่าโดดเด่นในสไตล์ NVIDIA อยู่แล้วครับ แน่นอนว่า NVIDIA คร่ำหวอดในวงการกราฟฟิคชิปมานาน Tegra 2 ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ณ ตอนนี้ Tegra 2 นั้น สามารถเข้ากันได้กับเกมในระดับความละเอียด Full HD 1080P อย่างไหลลื่น โดย ณ เวลานี้ ก็มีเกมยอดนิยมหลายเกมใน Android Market ที่เริ่มปรับระบบกราฟฟิคให้ดูดีสวยงามมากขึ้น เพื่อรับกับการมาของเจ้า NVIDIA Tegra 2

…เกมยอดฮิตอย่าง Fruit Ninja ก็ปล่อยเวอร์ชั่น HD ออกมาใน Tegra Zone รวมไปถึงเป็นเวอร์ชั่นที่เป็น Tegra Optimized คือปรับปรุงกราฟฟิคและเอ็ฟเฟ็คมาสำหรับ Tegra โดยเฉพาะ นอกจากนี้ที่เด็ดๆเท่าที่ผมจะทราบมาอีกตัวนึงก็คือ Dungeon Defender ซึ่งเป็นเกมที่ใช้เอนจิน Unreal Engine เดิมทีเคยเป็นเกมที่อยู่ในแพลตฟอร์มของ Playstation , PC , Xbox และสามารถเล่นออนไลน์กันได้และสำหรับวันนี้ Dungeon Defender นั้นสามารถที่จะนำเอามาเล่นบน Tablet หรือโทรศัพท์ ที่ใช้ชิป NVIDIA Tegra 2 ได้แบบเต็มๆ ฟีเจอร์เหมือนกันหมดทุกแพลตฟอร์มแล้ว รวมไปถึงสามารถเล่นออนไลน์ข้ามแพลตฟอร์มกันระหว่าง PC Xbox ร่วมกับเวอร์ชั่นมือถือที่ผมกล่าวถึงได้อีกด้วย

…ถัดมาสุดท้่าย เป็นเรื่องของโลกของซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ เพื่องานวิทยาศาสตร์ และการศึกษา นับตั้งแต่ช่วงปี 2009 ที่ผมเคยได้กล่าวถึงเรื่องของ Tesla ชิป GPU ที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนโลกซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ในราคาและการกินไฟที่ต่ำลง ทั้งหมดนี้คือคอนเซ็ป ที่นำเอาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นของ GPU จาก NVIDIA มาทำงานผ่านสถาปัตยกรรม CUDA เพื่อให้สามารถนำเอาพลังของ GPU ที่แต่เดิมเราใช้มันประมวลผลแต่ภาพกราฟฟิค นำมันเอามาทำงานที่ซับซ้อน แบบที่ SuperComputer ทำกัน อย่างเช่นงานจำพวกการวิเคราะห์ข้อมูลทางชีวภาพ การชนกันของโมเลกุล งานทางด้านควอนตัมฟิสิกส์ หรือแม้กระทั่งเอามาใช้คำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนผ่าน MATLAB ก็คือสิ่งที่ Tesla ทำได้

…ณ วันนี้ ได้มี Super Computer ที่ติดอันดับหนึ่งในห้า เร็วที่สุดในโลก 3 ใน 5 เครื่องนั้น ใช้เทคโนโลยีของ NVIDIA Tesla แล้วครับ ! และ  ณ ตอนนี้ อันดับหนึ่งคือ Tianhe (เทียนเหอ) จากประเทศจีน สามารถประมวลผลได้ด้วยความเร้วระดับ 2.5PentaFLOPS กันแล้ว!

…คอนเซ็ปการนำเอา GPU มาใช้งานประมวลผลงานที่ซับซ้อนของ NVIDIA เริ่มขึ้นต้นตั้งแต่ในยุคของชิป M1060 ที่ผมเคยได้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2009 ตอนนั้นยังไม่มี Fermi หรือถ้าเทียบเป็นรุ่นกราฟฟิคของการ์ดเกมก็คือยุคสมัย GT2xx นั้นแหละครับ ณ ตอนนั้นประสิทธิภาพก็ถือได้ว่า เหนือกว่าการประมวลผลโดยใช้ซีพียูรูปแบบ X86 ทั่วไปอยู่แล้ว คอนเซ็ปการทำงานของมันก็คือ ให้ CPU ทำงานทั่วๆไป เช่นรันระบบปฏิบัติการ แต่สำหรับการคำณวนทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน ก็ให้ GPU ทำงาน ผ่านเทคโนโลยี CUDA

…มาถึงทุกวันนี้ NVIDIA ได้เปิดตัว Fermi มานานระดับหนึ่งแล้วครับ จะเห็นได้เลยว่า ความสามารถของมัน เหนือกว่า Sandy Bridge ขึ้นไปหลายช่วงตัวอยู่เหมือนกัน ซึ่งจุดเด่นตรงนี้ นอกจากในเรื่องของประสิทธิภาพ ที่ Tesla จะสามารถตอบโจทย์นักพัฒนา นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ในการทำงานที่สลับซับซ้อนได้ดีแล้ว อัตตราการบริโภคพลังงานต่อความสามารถในการประมวลผล ก็ยังทำได้ดีกว่าซีพียูในสถาปัตยกรรม X86 อยู่มากอีกด้วย

…ในปัจจุบันนี้ จากเท่าที่ฟังทาง NVIDIA บรรยาย ในประเทศไทย ก็ได้เริ่มมีมหาวิทยาลัยชั้นนำทางด้านเทคโนโลยี นำเอาเทคโนโลยีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ตัวประมวลผล GPU Tesla ไปใช้แล้ว อย่างเกษตรศาสตร์ และอีกที่หนึ่งที่ฟังจากเขาพูดว่าเป็น King Mongkut’s แต่ไม่ได้กล่าวครับว่าเป็นสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตไหน ? แต่สำหรับการเรียนการสอนในส่วนของการโปรแกรม CUDA ก็แน่นอนก็คือเป็นทาง ม เกษตรศาสตร์ นั้นแหละครับที่เริ่มนำเอาไปใช้แล้ว

…ไลน์อัพผลิตภัณฑ์ของ Tesla ตอนนี้ก็จะมี M series กับ C series ครับ โดยที่ตระกูล 2xxx จะหมายถึงเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Fermi ข้อแตกต่างของสองซีรียส์ก็คือ M Series จะเน้นขายให้กับพวก OEM Builder สำหรับสร้างซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ หรือเวิร์คสเตชั่นขนาดใหญ่ ที่เป็นระบบ Blade คลัสเตอร์กันมากๆชิ้น แต่สำหรับ M series นั้นก็จะเป็นตัวที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องเวิร์คสเตชั่นทั่วไป ขนาดเล็กๆ จริงๆแล้วสถาปัตยกรรมก็จะเหมือนกันกับ C series แต่ก็จะมีพอร์ต DVI ติดมาให้ด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นการ์ดเพิ่มเติมสำหรับเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์ทั่วไป แล่้วก็เปลี่ยนคอมเครื่องนั้น ให้กลายเป็น Supercomputer ขนาดเล็กได้ในทันที

.

.

…จะเห็นได้ว่า NVIDIA ทุกวันนี้นั้น รุกหน้าไปกว่าที่เราจะคาดถึงแล้วครับ หลายคนอาจจะคิดว่า NVIDIA ก็แค่บริษัททำชิปการ์ดจอ ซึ่้งถ้าจะพูดถึงในตอนนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์เลยจริงๆ สำหรับบทความเปิดโลก อัพเดตเทคโนโลยีสุดสัปดาห์ในวันนี้ ก็คงจะหมดเนื้อหาลงแต่เท่านี้ ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ สวัสดี ….

.

.

ขอขอบคุณ NVIDIA