…คอมพิวเตอร์พกพามันต้องพกพาได้จริงๆ ไม่ใช่เครื่องที่ไว้ใช้เปิดสตูดิโอทำงาน ปัญหาของคอมพิวเตอร์พกพาในโลกพีซีทุกวันนี้คือความคล่องตัว ลองจินตนาการดูสิครับ ว่าคุณไปถึงที่ทำงาน กางแล็ปทอปออกมา แล้วบู้ตเครื่อง หลังจากนั้นคุณก็คงจะมีเวลาไปชงกาแฟได้สักสองถ้วย แล้วกลับมาเริ่มงานกับแล็ปทอปของคุณ และนี่แหละครับคือปัญหาของคอมพิวเตอร์พีซี ลองคิดดูว่าหากคุณต้องการเพียงแค่เปิดขึ้นมาเพื่อเช็คอีเมล เปิดเฟซบุคเพียงแค่ 5-10 นาที แต่คุณต้องรอบู้ตเครื่องอยู่กว่านาที นั้นคือเวลา 10-20% เลยทีเดียวสำหรับการรอใช้งาน ในขณะที่อุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์อย่างแท็บเล็ต หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนนั้นไม่จำเป็นต้องรอ เรา standby อุปกรณ์ไว้ แล้วก็เปิดมาใช้งานได้เลย

…แน่นอนว่าชีวิตของคนที่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่ 6 การซื้อแท็บเล็ต ไม่ได้ตอบโจทย์ของคนเหล่านั้นได้หมด ลองจินตนาการดูสิครับว่าการพิมพ์จดหมายสักฉบับบนแท็บเล็ตนั้นมันยากลำบากแค่ไหน ถึงจะให้ซื้อคีย์บอร์ดมาใส่เพิ่มก็ตาม หรือมากไปกว่านั้น หากคุณเป็นกลุ่มคนที่เรียกว่า “Professional” เช่น นักตัดต่อวีดีโอ โปรแกรมเมอร์ แน่นอนชีวิตของคุณขาดพีซีไม่ได้แน่ๆ ซึ่งคำถามถัดไปก็คือ แล้วจะมีพีซีเครื่องไหนแบบไหนไหม ที่ให้ความยืดหยุ่นในการเปิดปิดใช้งานแบบอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ไปพร้อมๆกับความสามารถในเชิงสร้างสรรค์ผลงาน แบบที่พีซีมีอยู่แล้ว

…โจทย์ดังกล่าวนั้น Ultrabook คงเป็นคำตอบ คำว่า Ultrabook นั้นเป็นคำที่อินเทลเคลมไว้เป็นชื่อเครื่องหมายทางการค้า โดยที่ให้นิยามไว้ว่า เป็นคอมพิวเตอร์แล็ปทอปที่พกพาได้สะดวก ใช้พลังงานต่ำ โดยที่อินเทลเป็นผู้กำหนดนิยามทั้งหมดด้วยตนเอง และให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ค่ายต่างๆ นำไปประยุกต์และสร้างเป็น “Ultrabook” ของตน

…ข้อกำหนดของเครื่อง Ultrabook นั้นคือจะต้องเป็นเครื่องแล็ปทอปที่มีความหนาไม่เกิน 21มิลลิเมตร น้ำหนักเบากว่า 1.4 กิโลกรัม แบตเตอร์รี่ต้องใช้งานได้นาน 5-8 ชั่วโมง และใช้ชิปซีพียูและกราฟฟิคต้องเป็นแบบ 2^nd generation Intel Core i3 i5 หรือ i7 ที่ถูกปรับปรุงพิเศษโดยทางอินเทลสำหรับ Ultrabook โดยเฉพาะอีกด้วย

…จากข้อกำหนดดังกล่าวนั้นทำให้เครื่อง Ultrabook นั้นมีการ ตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งผลลัพท์คือ ความสามารถในการกลับสู่สภาพพร้อมใช้งาน จากโหมด sleep ได้ในทันทีแบบที่เรากดปุ่มปลดล็อคโทรศัพท์ หรือแท็บเล็ต ในกรณีนี้ก็คือการพับฝาให้เครื่องหลับลงไป แล้วยกฝาขึ้นมาใช้งานอีกครั้งหนึ่ง หรือ อีกกรณีหนึ่งคือการเข้าสู่โหมด “Deep Sleep” ที่โดยที่เครื่องจะต้องกลับมาสู่สภาพพร้อมใช้งานได้ภายใน 7 วินาที

…นอกจากการตอบสนองในเชิงพร้อมใช้งาน ประสิทธิภาพก็ไม่เป็นรองใคร ด้วยขุมพลังชิปซีพียู 2^nd generation Intel Processor ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพและการบริโภคพลังงานมาเป็นพิเศษ และนอกจากนี้เครื่องที่เลือกใช้ตัวเชื่อมต่อ WiFi ที่เป็นของ Intel เองอย่างใน Acer Aspire S3 เครื่องนี้ ทางอินเทลก็ยังเคลมมาอีกว่าสามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทผ่านทาง Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เครื่องตื่นจากโหมด sleep อีกด้วย

…สำหรับบทความแนะนำเทคโนโลยี Ultrabook ในวันนี้ ก็ถือเสียว่าเป็นการเรียกน้ำย่อย ของรีวิวเครื่อง Ultrabook จากทาง Acer ในรุ่น Aspire S3 ซึ่งก็คงจะต้องมาติดตามกันในตอนต่อไปว่าจะมีรายละเอียด ความสามารถอย่างไร แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปครับ