ประวัติศาสตร์ไทย-เขมร
ผมไม่อยู่สองสามวัน กลับมาอุณหภูมิไทยเขมรเดือดปุด หลังจาก "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย บินไปจู๋จี๋กับ สมเด็จฮุน เซน นายกฯกัมพูชา กันสองต่อสองประสาคนมีปัญหาด้วยกัน หลังจากนั้น สมเด็จฮุน เซน ก็เหมือนม้าศึกโด๊ปยา ลุกขึ้นมาท้ารบไทยเหย็งๆอย่างไม่เกรงกลัวบิ๊กจิ๋ว ไปบอกความลับอะไรกับ สมเด็จฮุน เซน ไม่มีใครรู้ คุยกันสองคน
แต่วันพรุ่งนี้ สมเด็จฮุน เซน บอกนักข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยอีกคน จะบินเข้ากัมพูชาในฐานะ "ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการคลัง" ของ สมเด็จฮุน เซน เพื่อไปบรรยายให้ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจเขมร 300 คนฟัง โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของไทยเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดน แถมยังประกาศด้วยว่า ไทยจะปิดชายแดนก็ปิดไป เขมรก็จะปิดชายแดนด้วย
ก็ ต้องคอยดูกันต่อไป อดีตนายกฯทักษิณ จะไปให้คำปรึกษาอะไรบ้างกับ สมเด็จฮุน เซน จะเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองมากกว่า หรือจะเห็นประโยชน์ของกัมพูชามากกว่า
มีคนถามว่า เคยมีอดีตนายกรัฐมนตีประเทศไหนบ้าง ที่ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้นำของประเทศที่มีเรื่องขัดแย้งกับประเทศตัวเอง ซึ่งมีทั้งความขัดแย้งเรื่องชายแดน ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่มีมูลค่ามหาศาล ล้วนเป็น ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ระหว่างประเทศ ที่ ล่อแหลมต่อความมั่นคงของชาติ อย่างนี้บ้าง
คำตอบก็คือ ไม่ทราบ และ ไม่คิดว่าจะมี
เท่า ที่เห็นอย่างเช่น นายจิมมี่ คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ไปทำเรื่องการกุศลระหว่างประเทศ ช่วยเหลือคนยากจนที่ไร้ที่อยู่อาศัย หรือ นายโทนี แบลร์ อดีตนายกฯอังกฤษ ก็กำลังไปสมัครชิงตำแหน่ง ประธานสภายุโรป เป็นเรื่องส่วนรวม แต่อดีตผู้นำที่ไปเป็นที่ปรึกษาให้ประเทศคู่แข่ง หรือประเทศคู่ขัดแย้งอย่างนี้ ผมขอเรียนตามตรงว่ายังไม่เคยเห็น
ถูกต้องหรือไม่ ก็อยู่ที่จิตสำนึกของแต่ละคน
ผม ก็ได้แต่หวังว่า อดีตนายกฯทักษิณ จะไม่ให้คำปรึกษาที่เป็นผลลบแก่ประเทศไทย มิฉะนั้น ประวัติศาสตร์หน้านี้จะบันทึกไปถึงชั่วลูกชั่วหลาน
ช่วงนี้ ท่านผู้อ่านคงได้ยินคำว่า "พระยาละแวก" กันบ่อยครั้ง หลายท่านอาจยังสงสัยที่มาที่ไป ชื่อนี้ในพงศาวดารไทยเขาใช้เรียก กษัตริย์เขมร ในช่วงที่ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ เมืองละแวก ในสมัย สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระนเรศวร
สมัยนั้น ประเทศไทยอ่อนแอทีไร หรือถูกพม่ายกมาตี พระยาละแวก (เจ้าเมืองละแวก) ก็จะยกทัพมาตีเมืองไทย ปล้นเมือง กวาดต้อนผู้คนไปหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่ง สมเด็จพระนเรศวร ขึ้นครองราชย์จึงทรงร่วมกับ สมเด็จพระเอกาทศรถ ยกกองทัพไปปราบเขมรเพื่อให้เข็ดหลาบเสียที
สมเด็จพระนเรศวร ต้องยกทัพไปปราบถึง 2 ครั้ง จึงตีเมืองละแวกสำเร็จและจับตัว พระยาละแวก ประหารชีวิต แต่ในพงศาวดารเขมรกลับเขียนว่ากษัตริย์ไทยใช้หมอผีไปทำคุณไสย ทำให้พระยาละแวกสติผันแปร เสวยแต่น้ำจัณฑ์ แล้วส่งข่าวให้ทางกรุงศรีอยุธยายกทัพไปตี
ในอดีตเขมรเป็นประเทศราชมา ตลอด เพราะเป็นประเทศกันชนระหว่าง ไทย กับ ญวน ซึ่งเป็นมหาอำนาจในแหลมมาลายู เขมรจะแปรพักตร์ไปมา ขึ้นอยู่กับว่า ช่วงไหนไทยกับญวนจะเข้มแข็งกว่ากัน ว่ากันว่า ถ้าเขมรตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมือง "อุดงมีชัย" หรือ "บันทายเพชร" ก็มักจะมาขึ้นกับ "ไทย" แต่ถ้าไปตั้งเมืองหลวงที่ "พนมเปญ" ก็มักจะไปขึ้นกับ "ญวน" ฟังดูแล้วก็ท่าจะจริง
ก็เหมือนในยุคนี้ เมื่อประเทศไทยอ่อนแอ บ้านเมืองแตกแยก คนไทยแตกแยก แย่งชิงผลประโยชน์กันเอง เขมรก็กล้าลุกขึ้นมาสำแดงฤทธิ์เดชกับไทยอย่างไม่ยำเกรง ทั้งๆที่ในประวัติศาสตร์ ตอนที่เขมรเป็นประเทศราช ไทยก็ไม่เคยกดขี่ข่มเหงเขมรเลย ยังช่วยราชวงศ์เขมรกอบกู้ราชบัลลังก์ด้วยซ้ำ.
"ลม เปลี่ยนทิศ"
http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/45765