ความฝันอันสูงสุดของในหลวง
...... ต้องย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2515 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสักการะดวงวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ คืนนั้นพระองค์ท่านได้ประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระราชินี ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมืองยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย
และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้
ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม ก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว
จากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศ
เพลงนี้สะท้อนและให้กำลังใจแก่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติในลักษณะ ของการปิดทองหลังพระ ซึ่งคนเหล่านี้เองที่มีความจงรักภักดีและพร้อมจะพลีกายถวายชีวิตเพื่อชาติ ของเราโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนแต่อย่างใด
เพลงนี้แค่ขึ้นท่อนร้องมาก็เหนือแล้วละครับ...
“ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”
ซึ่งก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหมือนกันว่า เพลงๆ นี้ฟังแล้วจะรู้สึกรักชาติอยากจะทำอะไรเพื่อชาติขึ้นมาอีกเป็นกอง จากที่เคยรักอยู่แล้วระดับหนึ่ง แต่ที่ดีกว่านั้นก็คือ ใครที่เคยคิดว่าตัวเองทำงานแล้วไม่มีใครเหลียวแลน่าจะลองฟังเพลงนี้กันดู น่าจะมีกำลังใจในการทำงานเพิ่มขึ้นอีก
อัลบั้มนี้นอกจากจะมีเพลงความฝันอันสูงสุดเป็นไฮไลท์แล้ว ยังมีเพลงปลุกใจให้เลือดรักชาติสูบฉีดอีกหลายปรี๊ด อาทิ "แด่ทหารหาญในสมรภูมิ" หรือ พระนิพนธ์ของพระเทพฯ อย่าง "ดุจบิดามารดร" ทั้งหมด 9 เพลง
น่าเสียดายเหมือนกันที่ไม่มีใครทำเพลงชุดนี้ออกมาขายอีก
คงเหตุนี้ด้วยนะครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่า โชคดีชะมัดที่มีเพลงชุดนี้ฟัง
ทำดีเพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติกันเถอะครับ ถึงไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ว่าเราทำดีอะไรไว้
แต่ตัวเราก็รู้อยู่แก่ตัวเองครับ ว่าตัวเราทำดีอะไรเพื่อส่วนรวมไปบ้าง
ประเทศที่เจริญรุ่งเรือง คือประเทศที่คนในชาติมีความเป็นชาตินิยม รักประเทศชาตินะครับ
ไม่ใช่ประเทศที่มีแต่คนจ้องหาผลประโยชน์กอบโกยเอาจากประเทศอย่างเดียว
เราเป็นคนไทย ถ้าไม่รักประเทศไทยแล้วจะไปรักประเทศไหน ผมว่าถ้าเราคนไทยทุกคน
ทำได้อย่างเพลงนี้ ในหลวงของเราต้องมีความสุขอย่างแน่นอนครับ
ขอฝากข้อคิดนี้กับทุกๆท่านด้วยนะครับ ขอบคุณครับ