อืม
อันนี้ในความคิดของผมนะครับ
ผมว่ามันร๊อคแอนด์โรลดีนะครับ ลัทธินี้
จริงนะครับว่า ถ้าจะพูดแบบสมัยใหม่หน่อยก็ เป็น sub branch (สาย่อยเลยว่างั้น) อีกที
เพียงแต่ว่า มันก็ผิดแปลกแตกต่างอย่างที่ควรจะเป็นเมื่อ2500 กว่าปีก่อนนะครับ
คือ องค์ศาสดาเอกท่านพยายามละทิ้งสิ่งเหล่านี้จนหมดครับ เหลือแต่จีวรห่มตัว แค่นั้น
อันนี้ มันเริ่มมุ่งสู่แนวทางร๊อคแอนด์โรลครับ ต้องมี prop เยอะๆ คนจะได้ศัทธาครับ
พูดกันง่ายๆ มันบินได้ บินโชว์ไปแล้วครับ อิอิกำ
แต่ว่าเมื่อก่อนที่เค้าว่าพระอรหันต์สำแดงอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ จนที่ว่า ที่มีพระอรหันต์รูปหนึ่งเหาะไปรับบาตรไม้บนเสานั่นแหล่ะครับ พระพุทธเจ้าจึงห้ามไม่ให้รับบารตร ที่ทำจากไม้และไม่ให้แสดงอิทธิฤทธิ์ให้ฆราวาธเห็นแต่อย่างใดนะครับ เง้อ ผมก็ไม่เคยเห็นหรอกครับว่ามันมีจริงๆหรือเปล่า แต่ว่า ถ้าย้อนไปเมื่อสองพันกว่าปี มาบอกผมว่า สักหน่อยจะมีเครื่องบิน เหล็กเป็นตันๆเหาะบนอากาศได้ อยู่กันคนละทวีปแต่คุยกันได้เหมือนอยู่ตรงหน้ากัน ผมก็คงไม่เชื่อแล้วก็ขำๆแหล่ะครับ เป็นอย่างงั้นไป
อันนี้แบบว่าไงดี เป็นการบรรลุซึ่งวัตถุมากกว่าครับ
แต่ว่าเนื้อแท้ของมันเองนี่ เป็นการบรรลุของจิตครับ แบบว่ารูปกายนี่ไม่ stable นะครับ มัน dynamic เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ว่าจิตมันยังคงอยู่ตลอดไปว่างั้น ท่านเลยไม่ได้ให้ยึดมั่นถือมั่นในอัตตานั่นแหล่ะครับ เง้อ
แต่ว่า ของ DMC นี่ ก็จะบูชาอัตตาหน่อยๆ ช่อง DMC ผมก็ดูนะครับ สลับดูกับของหลวงตาบัว เนี่ยวันที่ 12 ที่จะถึงนี่จะไปทำโรงทานกาแฟเล็กๆเหมือนกันครับ น้องๆเพื่อนหมอจากทางขอนแก่นทางโรงบาลศรีฯ (กลุ่มของน้องสาวผมเองครับ) ก็จะมากัน ปกติครอบครัวผมไปประจำเกือบทุกปีครับ ตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ ทำไปแล้วมันสบายใจครับ ให้วัตถุทาน คือเป็น step แรกๆของการสละอะไรที่มันมากกว่านั้นก็เป็นได้ครับ อย่างน้อยก็ลดความตระหนี่ถี่เหนียว อาจจะมีกะใจช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่อไปครับ ซึ่งมันก็ส่งผลจริงๆนะ ไม่ได้ยกตัวเองนะครับ ทำงานอยู่นี่ก็อยากให้คนที่เข้ามาหาเราได้อะไรที่ดีๆกลับไปทั้งนั้นครับ เนอะ ถ้าใครไปอยู่แล้วก็ไปทักกันได้นะครับ ไม่รู้ปีนี้จะจองได้โรงทานตรงไหนเหมือนกันครับ แต่ว่าปกติจะได้ที่ตรงติดคลองน้ำ ไกลๆหน่อยจากหน้าประตูวัดนะครับ ตรงสะพานนั่นแหล่ะครับ
กลับมาดู DMC นี่ อืม... จะว่าไงดี คนในนั้นเค้าทำผมคิดว่าเค้าก็มีส่วนนึงที่สบายใจแหล่ะครับ ยังไงก็ให้เค้าทำไปเถอะ เค้าเชื่ออะไรทำอะไร มีความสุขในการทำอะไรแล้วไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร ก็ป่วยการนะครับที่จะไปว่ากล่าวเค้าครับ เนอะ ไม่ดีครับ
แต่ว่า ถ้ามองกลับในมุมของศาสนา ผมคิดว่า มันเริ่มเพี้ยนๆไปเยอะแล้วครับ หมายถึงส่วนที่เป็น Hub กระจายคำสอน แต่เริ่มมีส่วนที่บิดเบือนไปจากสิ่งที่เคยเป็นมานะครับ จริงนะครับ โลกหมุนไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรจีรัง สังคมเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน แต่ว่า บาปมันก็ไม่เปลี่ยนครับ มีเหมือนเดิม บุญก็มีเหมือนเดิม รับผลในชาตินี้ก็ อยู่ในใจเราเองนั่นแหล่ะครับ ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลหรอกครับ ไปทำผิดมาไม่ติดคุก แต่ก็มีคุกในใจเรานั่นแหล่ะครับ เง้อ เป็นงั้นไปเนอะ
ที่ไม่ค่อยเห็นด้วยนะ อืม... ก็ เน้นด้านวัตถุมากไปครับ จริงๆก็สอนให้คนเป็นคนดีเหมือนกันแหล่ะครับ แต่คือ ต่อไปมันจะมุ่งสู่อวิชาหรือเปล่า ก็รอดูกันไป
อันนี้อยากเล่าให้ฟังอีกอย่างนะครับ ตั้งแต่ ที่พระศาสดาปรินิพานแล้วนะครับ ก็แยกเมเจอร์ย่อยไปเป็น หินยาน จริงๆต้องสระอีนะครับ แต่ก็เติมอิก็ได้ครับ แล้วก็ มหายาน ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหล่ะครับ แต่ว่า ก่อนหน้านั้น มันก็มีอะไรนอกรีดมาเช่นเดียวกันครับ อย่างเช่น นักบวชไปสอนให้คนที่เลื่อมใสว่า การเสพกามกันนี่คือทางสู่นิพพาน คนเค้าก็เชื่อแล้วให้คนที่เป็นอาจารย์นั่นแหล่ะครับเสพ ขนาดนั้นเลย ผมว่ามันก็เริ่มเสื่อมๆหลังจากนั้นเรื่อยมาครับ ถึงว่าครับ คนเราซึ่งไม่ขาดซึ่งกิเลศย่อมแสดงว่าหาทางที่ถูกกับจริตของตัวอยู่แล้วครับ ผิดกับพระศาสดาครับที่มีหลายอาจารย์ครับแต่ก็ไม่พบว่าทางใดเป็นทางที่เลิศที่สุดได้ครับ นั่นแหล่เนอะ งานที่ท่าน ping เอามาให้ดูก็ เป็นอีกแนวทางครับ ใครจะนับถืออะไร จะเชื่ออะไรก็ ไปว่าเค้าไม่ได้หรอกครับ แต่ขออย่าให้ไปเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็เป็นพอดีแล้วหละครับ เนอะ แต่ถ้ามันมาไถตังค์ขอตังค์เข้าลัทธิ อันนี้อาจเจอส้นตีนผมได้เหมือนกันครับ ก็ขออย่าให้มาเรี่ยรายถึงหน้าบ้านเลยครับ ไม่งั้นโดนจริงๆครับ อิอิกำ