นิ่วถุงน้ำดี (Gallstone หรือ Cholelithiasis) เป็นโรคพบบ่อยมากโรคหนึ่งในบ้านเรา อาจมีเพียงก้อนนิ่วเดียวหรือหลายๆก้อน ก้อนนิ่วอาจใหญ่มากขนาดเท่าลูกปิงปองหรือเป็นเหมือนเม็ดทรายละเอียด ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ อายุ และพันธุกรรม นิ่วในถุงน้ำดีอาจแบ่งเป็น 2 ชนิดหลักคือ ชนิดเกิดจากคอลเลสเตอรอล (Cholesterol stone) และชนิดเกิดจากสารให้สี (Pigment stone) ส่วนใหญ่มักจะพบในผู้หญิงรูปร่างท้วมอายุ ประมาณ 40 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีบุตรหลายคน แต่อย่างไรก็ตามบางคนก็ตรวจพบตอนไม่มีอาการผิดปกติใดๆ อย่างไรก็ตาม แม้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงบุคคลทั่วไปก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการของโรคนิ่วถุงน้ำดี 1-2 % ต่อปี และปัจจุบันคนไทยนั้นเป็นโรค
นิ่วถุงน้ำดีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นิ่วถุงน้ำดีที่พบบ่อยในบ้านเราจะเป็นชนิดที่เกิดจากสารให้สี มีลักษณะเป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยมๆ สีเข้มๆ เกิดจากการขาดสมดุลของน้ำดีนั้นเอง การเกิด
นิ่วถุงน้ำดี ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือตัวก้อนนิ่วที่ไปอุดถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีอักเสบ หลุดไปอุดท่อน้ำดีใหญ่ทำให้ติดเชื้อตัวและตาเหลือง หรือบางครั้งถ้ามีนิ่วค้างอยู่เป็นเวลานาน อาจจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้ โดยช่วงแรกอาการจะมีเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดจุกแน่นท้อง ใต้-ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ท้องอืด อิ่มง่าย โดยเฉพาะกินอาหารมัน/หลังอาหารมื้อใหญ่ แต่ถ้าเป็นมากมีอาการอักเสบของถุงน้ำดีจะมีอาการปวดท้องมาก มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน แต่บางกรณีผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆเลย ทำให้อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาก่อน เพราะอาจถ้ามีอาการหรือโรคแทรกซ้อนจากถุงน้ำดี
ทำให้ปัจจุบันการผ่าตัดส่องกล้องถุงน้ำดีได้กลายเป็นการรักษามาตราฐาน เพื่อการรักษาภาวะนิ่วถุงน้ำดี โดยการเจาะรูเข้าไปในช่องท้อง 3-4 จุด ทำให้มีอาการเจ็บแผลน้อยกว่าการผ่าตัดปกติ ฟื้นตัวได้เร็ว 1-2 วันยกเว้นกรณีที่ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน อาจจำเป็นต้องผ่าตัดใหญ่ซึ่งต้องพิจารณาแต่ละราย หรือผู้ป่วยไม่กังวลกับการผ่าตัดจะเลือกใช้วิธีตัดถุงน้ำดีที่มีปัญหาออกเลยเพื่อไม่ให้เกิดเป็นผลข้างเคียงในภายหลัง ซึ่งหลายคนอาจยังกังวลกับการตัดถุงน้ำดีนั้นว่าจะส่งอันตรายต่อร่างกายหรือเปล่า? หลังจากผู้ป่วยที่ผ่าตัดถุงน้ำดีออกนั้น
ผู้ป่วยจะไม่เป็นอันตรายใด แต่จากที่เคยมีถุงน้ำดีที่เก็บน้ำดีที่ถูกสร้างจากตับ เพื่อถูกขับออกมาเพื่อช่วยย่อยไขมัน เมื่อเอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว ก็จะไม่มีน้ำดีมาช่วยย่อยเวลากินอาหารจำพวกมันๆ ดังนั้นผู้ป่วยจะต้องเน้นอาหารพวกผัก ปลา มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอายุ 40-50 ปีที่เป็นวัยที่ควรลดอาหารประเภทนี้อยู่แล้ว ทำให้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยสามารถปรับตัวเองได้ในเวลาไม่นาน
อ้างอิงข้อมูลจากhttps://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/gallstones-in-the-gallbladder