การกลับมาอีกครั้งของ "จดหมายถึงนาย"
จดหมายถึงนาย
ท่านผู้อ่านครับ
"จดหมายถึงนาย" ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในแวดวงการฑูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหาได้ยากยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้เขียนบรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็นว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเตือนให้ทุกคนได้ ตระหนักถึงพิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่ เผื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดีขึ้น จึงได้นำลงมาไว้ในมุมนี้ เพื่อช่วยกันเผยแพร่
มีชัย ฤชุพันธุ์
MeechaiThailand.com
4 กรกฎาคม 2543
จดหมายถึงนาย
ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำ งานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลับไปยังนาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า
ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่า ควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุดในระยะยาว
ข้าพเจ้าสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้
“วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๓
นายที่รัก,
ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ ๒๐ ปีแล้วนั้น ข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้
ภาพรวมของประเทศไทย: ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของคนชาตินี้
แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ จำนวนมาก รวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า “ทำได้ตามใจคือไทยแท้” ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย
ในทางกายภาพ กรุงเทพเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้
ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้
การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้
แม้แต่หน่วยราชการ ถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยราชการตลอดกาล แก้ไม่ได้
ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็ก ๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือ ถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองชนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ และเพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา
ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ
แต่มีการค้าประเวณีและยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่ว
หัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ ในวัดซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม
ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทยซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญญลักษณ์สุด ยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลย
ผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมากเพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยมีเจตนาในทางทุจริตจริง ๆ และโดยสถานการณ์บังคับ
ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดย สิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ชัดในวงการเมือง สังคมไทยยังคง “ยอมรับนับถือ” นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่สะอาดหรือมีพฤติการณ์ที่ น่ารังเกียจ พวกเจ้าเลห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนือง ๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ
ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด
สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่อง ๆ หนึ่ง อาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่าง ๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยตั้งอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง
ตัวอย่างที่ดี ก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่าง ๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็จะอ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีก็มักจะกล่าวว่า “เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ของตนตามกฎหมายจริง ๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือ เกินนักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ”
ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมา ถึงระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยราชการหนึ่ง ๆ ได้กลายเป็น “ต้นทุน” ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ทั้ง ๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อน ๆ
จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่าย ๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคม แม้เวลาจะผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน
ในทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย? เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เขาจะพาเราไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำ ๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้างและชาวเขา
ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่าง ๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีต
แต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและการให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรมที่ดีงามมากนักในธุรกิจของคนไทย และยิ่งพบเห็นได้ยากในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและสาย สัมพันธ์มากกว่าการมีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม
คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อน ที่แท้จริงของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม
ความคิดรวบยอดของคนไทยไม่มี ระเบียบทางความคิดเชิงวัฒนธรรมยังด้อยกว่าญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศสหรือแม้แต่อินเดียอยู่มาก
ทำให้เราชาวต่างชาติ แม้จะชอบความแปลกในเมืองไทย แต่ก็ไม่ค่อยนับถือคนไทยว่าเป็นชาติที่มีอารยธรรมที่เข้มแข็งจริง ๆ เลย
ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและวัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้ นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเราซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ
เพราะแสดงให้เห็นว่า คนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ และเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอและคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่า
นับเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง
นายท่าน! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนกับหินปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อนทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย
นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลและบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่าง ๆ ของเราชาวต่างชาติเพียงแต่ใช้กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบ ๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในวังวนของความสุขสบาย ไร้ระเบียบ หลงอยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกด้าน
สังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวม ๆ เพียงอย่างเดียว
ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจรัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม สถาบันหรือศาสนาใด ๆ
เมื่อนั้น เราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น
สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของชาติไทยก็คือ
จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่าพวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยทางการค้าและ
การลงทุนอันเสรี ในกฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสห ประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรมต่าง ๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ผู้นำของชาติไทยคือเด็กที่ถูกเฆี่ยนตีมามากพอที่จะเชื่อฟัง ไม่กล้าโต้แย้ง คัดค้าน หรือใช้กลวิธีที่มาจากมันสมองของเขาเองในการหลบเลี่ยงเอาตัวรอด
อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือถือสากปากถือศีลของชนชาติเราเป็นอันขาด
ชาติเล็ก ๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนไทยอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มีแต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่งจะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย
สิ่งที่พึงระวัง
เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่างเงียบ ๆ นี้สะดุดหยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้
๑. อย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ พวกเขาจะกลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย
สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์ (mold) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คนพวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ ผ่าน ๆ มา
๒. อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา
จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าโลกาภิวัฒน์ที่ถูกต้อง คือ การเอาใจท้องถิ่น (localization of globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลง
จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ไขปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่ เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวกเขา และให้อามิสแก่พวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชัง มากขึ้นทีละน้อยโดยแสร้งทำเป็นว่าอยากช่วยเหลืออย่างจริงใจ
๓. จงเร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัว สร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่มจากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่าง ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องหนึ่ง ๆ จะใช้กฎหมายใด ในกรณีใด เมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลังและการเงิน พวกเขาจะเมินเฉยต่อศีลธรรมและจริยธรรม
จะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ
ดังนั้น พลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิด ๆ ว่าทุกอย่างดีขึ้น จะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็นอัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง
๔. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้คับแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่า
การใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูง ๆ มาให้ จนลืมไปว่าการสร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง e-mail
เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าต่อไปคำว่า “ชาติ” จะไม่มี เพราะ internet ได้ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม “ความรักชาติ” และแรงปรารถนาที่จะ “สร้างชาติ” เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชน อื่น ๆ
อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา “คิดอย่างมีจินตนาการ” อย่าให้พวกเขา “คิดได้” มาก ๆ หรือ “อยากคิด” มาก ๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย “คิดสู้” จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเลคโทรนิคเป็นสำคัญ
๕. หลีกเลี่ยงการวิพากย์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้งอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศพร้อม ๆ กับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคมไทยโดยส่วนรวม มากขึ้นทุกที
ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันซึ่งทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และไร้ความสำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ
อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากย์วิจารณ์ ปล่อยให้มันบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางใจ
ทุกลมหายใจของชีวิต จนกว่าจะหมดลม
เมื่อไม่วิพากย์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐ ที่สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาตเพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ที่ขึ้นสนิมเขรอะย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดหยุดได้
เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวกเขา จนกว่าเวลาจะมาถึง
๖. จงนำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่าน
เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า
“เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน” ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า “ไม่เป็นไร” แล้วหัวเราะเห็นฟันขาว
นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อมเพื่อลิ้มรสเนื้อสดอันโอชะจากแผ่นดินไทย!!
รายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูกมิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมาย เช่นว่านี้แล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่า คนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหา ด้วยตนเอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย
ข้าพเจ้าเองก็เริ่มชอบชีวิตแบบไทย ๆ เข้าแล้วซิ!
ลงชื่อ ยามวิกาล
ป.ล. ขอความกรุณาเจ้านายตอบกลับมาด้วยเพื่อทราบแนวคิดของท่าน
ที่มา
http://www.meechaithailand.com/ver1/?module=3&action=view&type=12&mcid=16