ZTE Corporation (
0763.HK /
000063.SZ) ผู้ให้บริการโซลูชั่นโทรคมนาคม เทคโนโลยีระดับองค์กร และเทคโนโลยีผู้บริโภคสำหรับแวดวงอินเทอร์เน็ตมือถือรายใหญ่ของโลก รายงานผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.8% ในช่วงครึ่งปีแรก จากการเติบโตของธุรกิจเครือข่ายเคลื่อนที่และสมาร์ทโฟน
กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.29 พันล้านหยวนในช่วง 6 เดือนแรก ตามรายงานผลการดำเนินงานของ ZTE ที่มีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สำหรับกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นเป็น 0.55 หยวน ส่วนรายได้ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 13.1% เแตะ 5.401 หมื่นล้านหยวน
ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของ ZTE เพิ่มขึ้นแตะ 6.68 พันล้านหยวน หรือ 12.4% ของรายได้ ส่งผลให้ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้าน R&D รวมเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านหยวน ทั้งนี้เป็นเพราะ ZTE มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี 5G, อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (IoT) รวมถึงคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันโดยรวม นอกจากนี้ ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ZTE ขึ้นแท่นอันดับ 1 ในรายชื่อผู้ขอจดสิทธิบัตรประจำปีล่าสุดขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) อันเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นต่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียุคหน้า
ในส่วนของธุรกิจ Carrier Networks ซึ่งคิดเป็น 59.9% ของรายได้นั้น ZTE จะเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี 5G ที่สำคัญๆ ได้แก่ เครือข่ายไร้สาย และ 5G Bearer ซึ่งจากการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G นี้เอง ทำให้ ZTE มุ่งมั่นที่จะช่วยผู้ให้ผู้ประกอบการเครือข่ายสามารถปรับใช้นวัตกรรมเครือข่ายล่าสุดได้ รวมถึงต่อยอดเทคโนโลยีจากเครือข่าย 4.5G ซึ่งสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลของผู้ให้บริการทั่วโลก
ส่วนธุรกิจ Wireless Networks นั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์ LTE ของ ZTE ได้รับเลือกให้เป็น “ผู้นำ” (Leader) เพียงรายเดียวในรายงานฉบับล่าสุดของ GlobalData โดยจุดแข็งในการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และการเป็นผู้นำเทคโนโลยี 4G และ 5G ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้งทั่วโลก ปัจจุบัน ZTE ได้ติดตั้งเครือข่าย Pre5G มากกว่า 60 เครือข่าย ตลอดจนเครือข่าย SDN และ NFV จำนวน 240 เครือข่ายทั่วโลก
ขณะที่ธุรกิจ Wireline Networks ประสบความสำเร็จในด้านเครือข่ายเสมือน (Network Virtualisation), การส่งข้อมูลแบบออพติคอล 100G และ Optical Access Field สุดล้ำ โดย ZTE ได้ผนึกความร่วมมืออย่างกว้างขวางกับผู้ให้บริการเครือข่ายพื้นฐานและเครือข่าย Bearer จากเยอรมนี สเปน ญี่ปุ่น รัสเซีย ไทย และจีน ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคม รัฐบาล และองค์กรทั่วโลกสามารถพลิกโฉมเครือข่ายและยกระดับคุณค่าได้เป็นผลสำเร็จ
สำหรับยอดจัดส่งชิป IoT ที่ ZTE ผลิตขึ้นเองนั้น เพิ่มขึ้น 41.7% ในช่วงครึ่งปีแรก 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ZTE ได้จัดส่งชิปเบสแบนด์แบบมัลติโหมดสำหรับ Pre5G ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายชั้นนำของโลกหลายราย ขณะที่ชิป IoT ของบริษัทก็ได้รับการทดสอบความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายหลายราย ขณะเดียวกัน ZTE ยังได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการถ่ายทอดสดแบบ VR ในกิจกรรมทางสังคมขนาดใหญ่ และเป็นบริษัทแห่งแรกในอุตสาหกรรมที่นำเสนอโซลูชั่น MaaP บริษัทเสร็จสิ้นการทดสอบความสามารถของ RCS ในการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการโทรคมนาคม 3 รายใหญ่ในจีน และกำลังเร่งเดินหน้าติดตั้ง RCS เชิงพาณิชย์ในจีน นอกจากนี้ ZTE ยังเปิดตัว uSmartAI ซึ่งเป็นโซลูชั่นหุ่นยนต์อัจฉริยะอีกด้วย
ในส่วนของธุรกิจ Consumer นั้น ZTE เติบโตขึ้นทั้งในแง่ของรายได้จากการดำเนินงานและกำไรขั้นต้น บริษัทมีช่องทางจัดจำหน่ายอุปกรณ์มือถือครอบคลุมในกว่า 160 ประเทศและภูมิภาค โดยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 4 ของตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐ และติด 5 อันดับแรกในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึง ออสเตรเลีย เยอรมนี แคนาดา และสเปน นอกจากนี้ ยอดจัดส่งกล่องแปลงสัญญาณ (STB) ของ ZTE ในช่วงครึ่งปีแรกยังเติบโตขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว และมากกว่ายอดจัดส่งตลอดทั้งปี 2559 ที่ผ่านมา
ZTE ได้จัดตั้งธุรกิจ Enterprise Business ภายในประเทศขึ้นในปี 2560 โดยจะเน้นไปที่การติดตั้งระบบขนส่งทางราง ตลอดจนธุรกิจด้านการเงินและในภาครัฐ ซึ่งถือเป็นรายแรกในตลาดการสื่อสารที่มีการบูรณาการเข้ากับระบบขนส่งทางราง
บริษัทจะยังคงส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีหลักๆ และตลาดสำคัญๆ ต่อไป ควบคู่ไปกับการยกระดับการบริหารการปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกฎหมายต่างๆ การควบคุมภายใน ตลอดจนผลประโยชน์ของพนักงานและผู้ถือหุ้น โดยเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้ออกสิทธิในการซื้อขายหุ้น (stock option) ให้พนักงานมากกว่า 2,000 คน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน
สำหรับในอนาคต บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยี 5G ให้ก้าวสู่ความเป็นมาตรฐาน รวมถึงมุมมองทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์ อีกทั้งจะเสริมสร้างการลงทุนให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นใน 2 ภาคเทคโนโลยีที่สำคัญ ได้แก่ เครือข่ายไร้สาย และ เครือข่าย 5G Bearer โดยจะเน้นไปที่ตลาดและกลุ่มลูกค้าหลัก
