• เมื่อ 18 ปีก่อนในเดือนพฤษภาคม 2535 “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อาจารย์หนุ่มจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เรียนรู้บทเรียน “การเมืองภาคประชาชน” บทสำคัญ เขาเข้าร่วมเขียนประวัติศาสตร์ “พฤษภาทมิฬ” พร้อมกับ “จตุพร พรหมพันธุ์” แม้บทบาทจะแตกต่างกัน แต่มี “จุดร่วม” เดียวกัน นั่นคือการต่อต้าย “พล.อ.สุจินดา คราประยูร” นายกรัฐมนตรีที่มากจากการแต่งตั้ง
ทั้งคู่เจ็บปวดเหมือนกันเมื่อเห็น “ประชาชน” ถูกทหารยิงเสียชีวิต
“ความเจ็บปวด” ในใจนี้ไม่เคยจางหาย ไม่ว่า “อภิสิทธิ์” จะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง
เมื่อครั้งตำรวจสลาย “ม๊อบพันธมิตรฯ” ที่สะพานมัฆวานฯ ด้วยโล่และกระบอง มีชาวบ้านหลายคนได้รับบาดเจ็บ
หัวหน้าพรรคประชาธิปปัตย์ที่ชื่อ “อภิสิทธิ์” ก็ไปเยี่ยมเยียนด้วยความรู้สึกโกรธแค้นแทนประชาชนที่ถูกทำร้าย
และเมื่อรัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” สั่งสลายการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ประชาชน เหตุการณ์ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิต 2 คน และผู้บาดเจ็บจำนวนมาก
เมื่อ “ประชาชน” เสียชีวิต จากการสลายการชุมนุมของภาครัฐ “อภิสิทธิ์” รู้สึกเจ็บปวด
เจ็บปวดอย่างยิ่ง ครั้งนั้นวาทะของ “อภิสิทธิ์” รุนแรงอย่างยิ่ง
เขาตั้งคำถามกับกับ “สมชาย” ว่า “เป็นคนหรือเปล่า”
“แม้พันธิมิตรฯ จะทำผิด แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้าย “ประชาชน”
“ระบบการเมืองในวีถีระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่ัรัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ”
และสรุปสั้นๆ ว่า “ต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชน”
“ความรับผิดชอบ” ในวันนั้นที่ “อภิสิทธิ์” เรียกร้องจาก “สมชาย” คือ
“การลาออก”
“การยุบสภา”
มี “บทเรียน” มากมายที่คนไทยได้จากเหตุการ “พฤษภาทมิฬ” ในปี 2535 แต่มี 2 บทเรียนสำคัญที่คนจำได้ว่าเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
บทเรียนแรก คือ อย่าให้ “ทหาร” ทำหน้าที่สลายการชุมนุม เพราะกองทัพฝึกทหารขึ้นมาเพื่อ “ต่อสู้” กับอริราชศตรู
“ไม่คุ้นเคยกับ “มวลชน” เหมือนกับ “ตำรวจ”
การระงับอารมณ์จึงแตกต่างกัน
และที่สำคัญห้ามใช้ “กระสุนจริง” เป็นอันขาด เพราะจะเกิดการสูญเสียชีวิตได้ง่าย
บทเรียนที่สอง คือ เรื่อง “เสรีภาพของสื่อมวลชน”
การปิดหูปิดตาประชาชนของ “สื่อโทรทัศน์” ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่มาของ “ทีวีเสรี” ในเวลาต่อมา
แต่ผ่านไป 18 ปี บทเรียนดังกล่าวก็เริ่มเลือนหายไป
ในเดือนพฤษภาคม 2553 เกิดปรากฎการณ์ที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมือง มีการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา”
นายกรัฐมตรีที่ชื่อ “อภิสิทธิ์” สั่งสลายการชุมชุม 2 ครั้ง
ครั้งแรก วันที่ 10 เมษายน ภายใต้วาทกรรม “ขอพื้นที่คืน”
ึครั้งที่สอง วันที่ 14-19 พฤษภาคม กับวาทกรรมใหม่ “กระชับวงล้อม”
ภายใต้ 2 วาทกรรมนี้ มีผู้เสียชีวิตรวมกัน 70 กว่าคน และผู้บาดเจ็บเกือบ 2000 คน
ทั้ง 2 ครั้ง หน่วยงานที่รับหน้าที่สบายการชุมนุม คือ “ทหาร”
ที่สำคัญในการสลายการชุมนุมครั้งที่ 2 “อภิสิทธิ์” อนุญาติให้ทหารใช้ “กระสุนจริง” ได้
มีการแถลงข่าวอย่างเปิดเผยทั้งเรื่องการใช้ “กระสุนจริง” และ “พลซุ่มยิง”
ในทางการทหาร นี่คือ “ใบอนุญาต” ปลิดวิญญาณที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เมื่อมี “ใบอนุญาติ” ไม่แปลกที่ทหารจะประกาศเลยว่าพื้นที่บางแห่งคือ พื้นที่ใช้ “กระสุนจริง”
แม้จะพยายามจะให้เหตุผลว่าการใช้กระสุนจริงนั้น จะไม่ได้มุ่งหวังชีวิต
ถ้ายิง ก็ยิง “ขา”
แต่มีคนตั้งข้อสังเหตว่า “องศา” การยิงจากที่สูงของ “พลซุ่มยิง”
การยิง “ขา” คนที่อยู่ด้านล่างนั้นเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
ไม่เหมือนกับ “ศีรษะ” หรือ “หน้าอก”
น่าแปลกที่ผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ครั้ง ส่วนใหญ่กระสุนจะพุ่งเข้าศีรษะอย่างแม่นยำ
เป็นความจริงที่มวลชน “คนเสื้อแดง” มีกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งคอยช่วยเหลือเพื่อฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์
เป็นความจริง ที่การแก้ปัญหาการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” เป็นโจทย์ที่ยาก
แต่ “อภสิทธิ์” ก็มีทางเืลือกในการแก้ปัญหาดังกล่าว
ประการหนึ่้ง คือ ใช้กำลังสลายการชุมนุม
ประการหนึ่ง คือ การเจรจา
ความผิดผลาดของ “อภิสิทธิ์” คือ การเลือกใช้ “ยา” ผิด
ทั้งที่รู้ว่าการใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม จะนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของประเทศ
เพราะใครๆ ก็รู้ว่ามี “กองกำลังติดอาวุธ” รอโอกาสนี้อยู่
ใครๆ ก็รู้ว่า “มวลฃน” คนเสื้อแดงในภาคเหนือและภาคอีสานมากมายขนาดไหน
แต่สุดท้าย “อภิสิทธิ์” ก็เลือกใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม
แม้วุฒิสภาจะยื่นบันได “การเจรจา” ให้กับอภิสิทธิ์แล้ว แต่เขาก็ปฎิเสธ
และในที่สุด การใช้กำลังทหารเข้าสลาย “ม็อบเสื้อแดง” ก็ทำให้เมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จำนวนคนเสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
มากกว่า 7 ตุลาคม 2551 หลายสิบเท่า
ที่สำคัญ ผู้เสียชีวิตมีทั้งเด็ก และผู้หญิงรวมทั้งผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธร้ายแรง
แต่ “อภิสิทธิ์” กลับเมินเฉยต่อการแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
เขาลืมหลักการที่เคยพร่ำบ่นเมื่อครั้งเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” ไปแล้ว
“ระบบการเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ” และ
“ต้องมีคนรับผิดชอบต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชน”
อย่าลืมว่าการมี “เหตุผล” หรือ “หลักการ” อาจเป็นดัชนีวัด “ความฉลาด” ของคน
แต่ “สามัญสำนึก” และ “จิตสำนึก”
คือดัชนีวัดความเป็น “มนุษย์” ของคน
===========================================
จะมีท่านทูตประเทศไหนบ้างที่เชื่อว่าเป็นการก่อการร้าย ตามที่รัฐบาลตอแหลชี้แจง ในเมื่อนี่เป็นการเรียกร้องความชอบธรรมทางการเมืองจากรัฐบาลอุบาิทว์ชุดนี้ ถ้าไม่ใช้แผนชั่วสาดโคลนคนอื่นจนเป็นการยั่วยุทางอารมณ์ให้กับผู้ประท้วงในหลายๆ ประเด็น ประชาชนจะตายเยอะแบบนี้ไหม
จะมีท่านทูตประเทศไหนบ้าง โง่ถึงขนาดที่จะยอมเชื่อว่าอาวุธสารพัดที่ขนมาตั้งโชว์ เป็นของกลุ่มคนเสื้อแดงจริง เพราะถ้าเป็นของคนเสื้อแดงจริง จะตั้งเฉยไว้ทำไม ไม่ยอมเอาออกมาสู้
หมาจนตรอกมันยังสู้ นี่อะไร คนมีสองมือ มีอาวุธสงคราม ไม่เอาออกมาสู้ พิลึกกึกกือไหม
หยุดตอแหลหน้าซื่อโชว์ต่างประเทศเรื่องปราบขบวนการก่อการร้ายได้ รู้ไหมว่ามันอัปปรีย์ในสายตาประชาคมโลก อุบาทย์จัญไรยิ่งกว่ารัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศเสียอีก
คนเสื้อเหลือง ควรจะยอมรับความจริงว่านี่เป็นผลจากความชั่วที่เกิดจากการกระทำเลว ทำชั่ว ของคนเสื้อเหลืองในอดีตทั้งหมด
*****…….พธม. ขอเงินไม่ได้ กู้แบงค์ก็ไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า + กู้ชาติ(ชาติชั่วมากกว่า)…….*********
ความคิดเห็น โดย: กู้จะกู้ชาติ=แต่ยังกู้แบงค์ไม่ได้ (#1207297) เขียนเมื่อ วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2010 เวลา 16:55 IP: 58.9.11.xxx
ที่มา
http://news.mthai.com/politics-news/77885.html