มาดูการวางแผน เปรียบเทียบของไทยสมัยก๊อดอาร์มี่ยึดโรงบาล กับการการจับตัวประกันของฟิลิปปินส์
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เผย นาที..เด็ดหัว"ก๊อดส์อาร์มี่"คอลัมน์ ความทรงจำในวันวาน
โดย ประชา หริรักษาพิทักษ์เช้าตรู่ 24 มกราคม 2543 ชาวเมืองราชบุรี ตื่นขึ้นมาพร้อมๆ กับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ในห้วง "ฤดูหนาว"
ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น..ไม่มีคาดคิดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า "ความร้อนระอุ" จะแผ่อานุภาพปกคลุมไปทั่วเมืองราชบุรี
ความ ร้อนระอุที่ว่าคือ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายติดอาวุธสงครามครบมือ บุกเข้าไปยึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี อ.เมืองราชบุรี พร้อมจับแพทย์ พยาบาล และคนไข้ เกือบ 600 ชีวิต เป็น "ตัวประกัน"
ความสับสนอลหม่าน..เกิดขึ้นภายในโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี นานกว่า 2 ชั่วโมง
ใน ที่สุดก็ทราบว่า กองกำลังที่บุกเข้ายึดโรงพยาบาลคือ "กลุ่มก๊อดส์อาร์มี่" จำนวน 10 คน ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งของ "กะเหรี่ยงดีเคบีเอ" ที่มีฐานที่มั่นอยู่ตามตะเข็บแนวชายแดน จ.ราชบุรี
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)สมัยนั้น ถูกมอบหมายจากรัฐบาล "ชวน หลีกภัย"(เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ตั้งแต่ 9 พฤศจิกายน 2540-9 กุมภาพันธ์ 2544) ให้เป็น "ผู้บัญชาการแก้ไขวิกฤต"
จากวันนั้น..จนวันนี้ ผ่านไปแล้ว 5 ปี..
"ผม ยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะใกล้ช่วงปีใหม่คือ เช้าวันที่ 24 มกราคม ถัดจากนั้น 1 วัน ก็เป็นวันกองทัพไทยพอดี เบื้องต้นเราทราบจากข่าวทีวีว่า มีกองกำลังติดอาวุธเข้ามายึดโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี โดยควบคุมหมอ พยาบาล และผู้ป่วยไว้หลายร้อยคน"
พล.อ.สุรยุทธ์ เล่าวินาทีรับรู้ข่าวสะเทือนขวัญ..!!
อึดใจเดียว…หน่วยทหารในพื้นที่ ยืนยันข้อมูลว่ากองกำลังที่ก่อเหตุคือ "กะเหรี่ยงก๊อดส์อาร์มี่"
เป็นชุดเดิมกับที่เคยบุกยึด "สถานทูตพม่า" ในกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2542
09.00 น. หลังรับทราบสถานการณ์ "ชวน หลีกภัย" นายกฯที่นั่งควบ รมว.กลาโหมขณะนั้น เรียกประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดพิเศษ โดยมี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ผบ.สส. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ผบ.ตร. ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษานายกฯด้านความมั่นคง ร่วมประชุมเพื่อระดมสรรพกำลังทางสมอง "วางแผน" แก้ปัญหา
โดยมี "ผู้บริสุทธิ์" หลายร้อยชีวิตเป็นเดิมพัน
เข็มนาฬิกาเดินไปกว่า 1 ชั่วโมง..
ที่ประชุมมีมติตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บัญชาการแก้ไขวิกฤตจับตัวประกัน..
10.30 น. เฮลิคอปเตอร์(ฮ.)ฝึกรุ่นแมลงปอ นำ พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อม พ.อ.นินนาท เบี้ยวไข่มุข ฝ่าย เสธ.คู่ใจ ทะยานขึ้นจากดาดฟ้าชั้น 7 กองบัญชาการกองทัพบก
ใช้เวลาไม่นานในอากาศ ฮ.ก็ลงจอด ภายในสนามกีฬากลางจังหวัดราชบุรี ซึ่งถูกเนรมิตเป็นกองบัญชาการสลายวิกฤต
โดย มี พล.ต.อ.ประชา พล.ท.ทวีป สุวรรณสิงห์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.อาภรณ์ กุลพงษ์ เจ้ากรมการทหารช่าง และผู้ว่าฯราชบุรี มารอรับพร้อมรายงานสถานการณ์อย่างละเอียด
"ไปถึงที่นั่นก่อนเที่ยง ก็ประชุมกับเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นคือ ส่งเจ้าหน้าที่จาก สมช. เข้าไปเกลี้ยกล่อมเพื่อให้คนร้ายปล่อยตัวประกัน แรกๆ เราขอส่งอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งจำเป็นสำหรับคนไข้และทุกคน ขณะเดียวกัน ก็จะพยายามหาข่าวไปด้วยว่าคนร้ายมากี่คน มีอาวุธมากน้อยแค่ไหน จากจุดนี้เราได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าคนร้ายมีทั้งหมดกี่คน"
12.00 น. ความพยายามในการ "เจรจา" กับกลุ่มก่อการร้ายให้ยอมมอบตัว ก็เริ่มต้นขึ้น
จากชั่วโมงหนึ่ง...ต่อไปอีกชั่วโมงหนึ่ง เข็มนาฬิกาไม่หยุดเดิน เช่นเดียวกับการเจรจาที่ไม่หยุดนิ่ง
แต่ "คำตอบ" ที่ได้รับยังล้มเหลว..กระนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ละความพยายาม..
ล่วงเลยถึงพลบค่ำ ดูท่าจะไร้วี่แววว่า "ตัวประกัน" จะได้รับอิสรภาพ จึงเริ่มคิดปรับเปลี่ยน "แผนใหม่"
มี การเรียกหน่วยจู่โจมชั้นยอดของประเทศ ทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษพลร่มป่าหวาย จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี หน่วยนเรศวร 261 จากหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน หน่วยอรินทราช 26 จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยคอมมานโดจากกองปราบฯ มา "สแตนบายด์"
เพื่อเตรียมปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด..!!
"ก๊อ ดสอาร์มี่ พยายามตั้งเงื่อนไขในการเจรจาหลายๆ อย่าง ซึ่งพิจารณาแล้วไม่สามารถทำตามได้ อย่างการขอ ฮ.พร้อมแพทย์ 10 คน เพื่อนำไปรักษานักรบก๊อดสอาร์มี่ ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารพม่า ขอไม่ให้ไทยและพม่าวางกำลังปิดล้อมชายแดน เพื่อให้เขาสามารถเคลื่อนไหวในบริเวณนี้ได้สะดวก ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การขอให้ไทยปล่อยนักรบก๊อดส์อาร์มี่ที่ถูกจับคืนถิ่น ซึ่งข้อเสนอทั้งหมด ยากที่จะยอมได้"
ห้วงนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ได้รับรายงานว่า ภายในเริ่มมีการเคลื่อนไหว...
คนร้าย 7 คนร้าย ต้อนตัวประกันกว่า 200 คน หลบขึ้นไปบนชั้น 2 ภายในตึกอำนวยการ
ขณะที่อีก 2- 3 คน ลงมาดูความเรียบร้อยบริเวณชั้นล่าง พร้อมจัดการวางระเบิดตามประตูทางเข้าออก และจุดต่างๆ หลายแห่ง
22.00 น.เศษ "ชวน หลีกภัย" บินด่วนจากกรุงเทพฯ พร้อมด้วย พล.ต.สนั่น และ พล.อ.มงคลมายังค่ายภาณุรังษี ภายในกรมการทหารช่าง เพื่อหารือถึงข้อเสนอซึ่งเป็น "ทางออกสุดท้าย" ให้กับกลุ่มนักรบก๊อดส์อาร์มี่
"หลังการประชุม ทางออกก็คือ การขอให้ก๊อดส์อาร์มี่วางอาวุธและยอมมอบตัว ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไทยจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวแต่จะส่งเรื่องให้ ศาลโลก เป็นคนตัดสินเพื่อความเป็นธรรม"
นั่นคือข้อเสนอ ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ก็ไม่มั่นใจนักว่าจะ "ได้ผล"
จริงอย่างที่คิด..ไม่มีคำตอบใดๆ จากฝ่าย "ก๊อดส์อาร์มี่" หลังได้รับข้อเสนอ..?
23.15 น. สถานการณ์มาถึง "ทางตัน" ไม่พบ "ทางสว่าง" ในการแก้ไขปัญหา
"ชวน หลีกภัย" จึงหันไปขอความเห็นจาก พล.อ.สุรยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการฯ
ใช้เวลาประเมินสถานการณ์ในใจอย่างถี่ถ้วนพอสมควร ..
ที่สุดก็เผย "การตัดสินใจ" ครั้งสำคัญให้ที่ประชุมรับทราบ
"ตอน นั้นได้ชี้แจงว่า เราพยายามเจรจาทุกวิถีทางอย่างดีที่สุดแล้ว หากแก้ไขไม่ได้ ก็จำเป็นต้องใช้กำลังเข้าชิงตัวประกัน เพราะขืนปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปถึง 24 ชั่วโมง ตัวประกันจะมีปัญหาเพราะว่าเป็นคนป่วยทั้งหมด ขณะที่หมอ พยาบาลก็จะไม่ไหว ผู้ป่วยอีก 400 คน ที่เหลือ ซึ่งกระจายอยู่ตามตึกต่างๆ ก็จะลำบาก เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หากไม่ดำเนินอะไร ทุกอย่างก็จะเลวร้ายหนัก"
ทุกคนในที่ประชุม..นิ่งเงียบ มองหน้ากันไปมา เพราะรู้อยู่แล้วว่า ปฏิบัติการขั้น "แตกหัก" จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
หลังไร้ทางเลือก ความจำเป็นที่จะต้องใช้ "วิธีรุนแรง" เข้าแก้ปัญหา จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..!
แต่ ก่อนจะ "ไฟเขียว" ให้ปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด "ชวน หลีกภัย" แสดงความวิตกกังวล เพราะเกรงว่าจะเกิดความ "ผิดพลาด" จนกลายเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
"โจทย์สำคัญที่ท่านชวนย้ำก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ คือปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องไม่มีตัวประกันบาดเจ็บล้มตายเป็นอันขาด"
เขา ได้สร้างความมั่นใจให้กับนายกรัฐมนตรีขณะนั้น ว่าจะสามารถฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้..ทั้งที่ภายในใจรู้ดีว่า ภารกิจที่รออยู่เบื้องหน้า หนักหนาสาหัสยิ่งนัก..!!
ก่อนการเดินทางกลับของ "ชวน หลีกภัย" และคณะ..แผนปฏิบัติการก็ได้เริ่มต้นขึ้น
"ตอน นั้น มีการเตรียมให้ พล.ต.สนั่น(ขจรประศาสน์ รมว.มหาดไทย ขณะะนั้น) สัมภาษณ์สื่อ ก่อนเดินทางกลับว่า รัฐบาลไทยจะเปิดเจรจาใหม่ในเช้าวันพรุ่งนี้(25 มกราคม) แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือกุศโลบายล่อหลอกให้ก๊อดส์อาร์มี่ตายใจ"
นั่นคือหนึ่งในแผนปฏิบัติการ..จากนั้นไม่กี่อึดใจ ปฏิบัติการ "ชิงตัวประกัน..เด็ดหัวก๊อดส์อาร์มี่" ก็เริ่มต้นขึ้น....
23.45 น. พล.อ.สุรยุทธ์ เรียกพลร่มป่าหวาย ตชด.ค่ายนเรศวร หน่วยอรินราช 26 จาก 191 รวมทั้งคอมมานโดจากกองปราบฯ มาเคลียร์แผนก่อนลงมือ
"ผม เน้นทุกคนต้องทำตามแผน ต้องละเอียด รอบคอบ และรัดกุม กำชับหน่วยกล้าตายทุกนายให้ใช้แค่อาวุธปืนพก หรือปืนสั้นเท่านั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามหยิบ เอ็ม-16 หรือเอชเค ออกมาใช้เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดลูกหลง แฉลบไปถูกตัวประกันบาดเจ็บล้มตายได้ ที่สำคัญปฏิบัติการนี้ห้ามเกิดข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด"
พล.อ.สุรยุทธ์บอกขั้นของแผนอย่างละเอียดหลายต่อหลายรอบ เพื่อความแม่นยำ
03.00 น. ของวันที่ 25 ธันวาคม คือ "เวลานัดหมาย" ของการเริ่มต้นปฏิบัติการ
"ช่วง เวลาตี 1 เราเริ่มจากการออกอุบายทำทีให้ พล.ท.ทวีปเปิดแถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์ให้สื่อทราบ ภายในโรงยิมเนเซียมเพื่อกันสื่อ ไม่ให้เข้าไปวุ่นวายและถ่ายภาพการเคลื่อนกำลังที่อาจทำให้คนร้ายรู้ตัว แผนการทั้งหมดอาจจะล้มเหลว"
พลันที่ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม กำลังทั้งหมดรุกคืบเข้าไปประจำตามจุด..!!
แม้จะตัดอุปสรรคเรื่องสื่อออกไปได้ แต่ระหว่างผ่องถ่ายกำลังเข้ายึดที่หมาย ประจำตามจุดต่างๆ
เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น..?
"จู่ๆ มีเสียงสุนัขเห่าขึ้นมา แผนเกือบแตก ผมสั่งให้กำลังทุกนายถอยออกมาตั้งหลักกันใหม่ ทำให้แผนการเข้ายึดต้องเลื่อนออกไปอีกเกือบ 2 ชั่วโมง"
05.00 น. คือกำหนดเวลาจู่โจมครั้งใหม่
ทุกอย่างเดินตามแผนเดิม เจ้าหน้าที่ทุกคนสามารถคืบคลานเข้าสู่ที่หมายอย่างไร้อุปสรรค
05.15 น. เมื่อทุกหน่วยพร้อม ปฏิบัติจึงเริ่มขึ้น
"เรา เริ่มจากการจุดถังน้ำมันให้ระเบิดบริเวณสนามกีฬาหน้าโรงพยาบาล เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนร้าย จังหวะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็เปิดฉากลุยด้วยการขว้าง สตั๊นบอร์ม(ระเบิดสีและแสงนำทาง) โดยมีเจ้าหน้าที่หน่วยกล้าตายที่รุกคืบเข้าไปฝังตัวอยู่ตามชายคา กันสาด ในระยะทำการของปืนพก รวมทั้งที่ซุ่มโป่งอยู่ข้างล่าง อยู่ก่อนแล้ว ก็ฉวยโอกาสกรู เข้าจู่โจมใส่คนร้ายแบบสายฟ้าแลบ"
เป็นปฏิบัติการสาย ฟ้าแลบที่ พล.อ.สุรยุทธ์ย้ำว่า ขนาดนักรบก๊อดส์อาร์มี่ที่เก่งๆ เพราะผ่านการฝึกมาอย่างช่ำชอง ยังหมดสิทธิชักอาวุธตอบโต้ เพราะกว่าจะรู้ตัวทั้งหมดก็กลายเป็นร่าง "ไร้วิญญาณ" ไปเสียแล้ว
ใช้เวลาปฏิบัติการไม่ถึง 15 นาที ทุกอย่างก็บยุติ ..โดยไม่มี "ตัวประกัน" ได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว
"หลัง จุดระเบิดทุกจุดที่ประจำการอยู่ก็เข้าพร้อมกันหมด เสียงปืน เสียงของการยิงต่อสู้ก็ดังไม่มาก ไม่ถึงระงม เพราะส่วนใหญ่ใช้ปืนพก จะมีก็บริเวณชั้นล่างที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้ปืนกล เนื่องจากคนร้าย คนหนึ่งได้วิ่งหนีเข้าไปอยู่ในห้องน้ำของอีกตึก และมีการขว้างระเบิดออกมา เจ้าหน้าที่จึงใช้ปืนกลกราดยิงเข้าไป แต่ตรงนั้นไม่มีตัวประกันอยู่"
05.40 น. สิ้นเสียงปืน ทหาร ตำรวจรีบรุดเข้าเคลียร์พื้นที่ ปรากฏร่างนักรบก๊อดส์อาร์มี่ 9 คน นอนเรียงรายจมกองเลือดในบริเวณไม่ห่างกัน ส่วนรายที่ 10 เสียชีวิตคาห้องน้ำหลังหลบหนีออกมาจากการปะทะเดือด
จากการชันสูตรพลิกศพ ทั้งหมดมีบาดแผลถูกยิงที่ศรีษะในลักษณะ "เผาขน" และเสียชีวิตทันที
พล.อ.สุรยุทธ์ให้เหตุผลที่ต้องเด็ดชีพทหารพระเจ้า อย่างน่าฟัง..
"เป็น การยิงระยะประมาณ 4-5 เมตร หลักของการชิงตัวประกันเจ้าหน้าที่ทุกคนก็จะรู้อยู่แล้วว่า การชิงตัวประกันที่จะไม่ทำให้บาดเจ็บคือ ต้องยิงทีเดียว ยิงทีศีรษะทั้งหมด ผู้ก่อการร้ายต้องเสียชีวิตทันที นั้นคือวิธีที่ดีที่สุด ถ้ายิงแล้วเขาไม่เสียชีวิต เขาก็อาจจะไปทำอะไรอย่างอื่น ที่อาจทำให้ตัวประกันอาจไม่ปลอดภัย อาจจะกดระเบิด หรือโยนระเบิดออกมา จุดนั้นอาจทำให้ตัวประกันบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้"
ถือเป็นยุทธวิธีสากล ที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
"เรา ทำเพื่อช่วยชีวิตคนของเรา แม้จะทำให้คนร้ายเสียชีวิต ในเหตุการณ์ที่คนของเราตกเป็นตัวประกันอยู่ 200-300 คน ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องทำ คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในฐานะที่เป็นทหาร เวลารบถ้าเขาไม่ตาย เราที่ต้องตายเป็นธรรมดา"
บทสรุปของ "ชายชาตินักรบ"
ที่แม้เหตุการณ์จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่เขายอมรับว่าในใจลึกๆ "กังวลใจ" อยู่ไม่น้อย
เพราะผลของการปฏิบัติการครั้งนี้..ไม่รู้สังคมจะพิพากษาการตัดสินใจของเขาเป็น "บวก" หรือ "ลบ"
แต่นั้นไม่สำคัญ เท่ากับการเซฟชีวิตหลายร้อยตัวประกันให้อยู่รอด ..โดยมิเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว..!!
http://paru51.is.in.th/?md=content&ma=show&id=5